วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

ผิวแห้งมากทำไงดี? คำตอบอยู่ที่นี่หมดแล้ว!!


       ยามที่ลมหนาวพัดผ่านมาครั้งใด สิ่งที่ตามมาด้วยก็คือปัญหาผิวแห้ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง ก็ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะความชื้นในอากาศที่ลดลงนั้นเอง สาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งนั้นก็หลายอย่าง แต่ผลที่เกิดขึ้นมีหลายระดับมากๆ ตั้งแต่ผิวแห้งกร้าน ไปจนถึงมีบาดแผลเลยก็มี
               แล้วเมื่อผิวแห้งทําไงดีหล่ะ? แน่นอนว่าเรามีวิธีแก้ผิวแห้งมาให้นำไปใช้กันอีกแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ผิวแห้งมาก หรือผิวแห้งน้อย ก็สามารถใช้ได้หมด และคำแนะนำดีๆ ที่ช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด


ผิวแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ
1. อากาศแห้ง ความชื้นน้อย ในหน้าหนาวอุณภูมิจะลดต่ำลง ทำให้ความชื้นในอากาศรอบๆ ตัวเราลดลงตามไปด้วย และการอยู่ในห้องแอร์นานๆ ก็มีผลเช่นเดียวกัน คือทำให้ผิวของเราแห้ง
2. สบู่บางชนิดจะทำให้ผิวแห้ง โดยเฉพาะสบู่รักษาสิวทั้งหลาย
3. หากอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ ก็จะทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน โดยเฉพาะหน้าหนาวที่มักอาบน้ำอุ่น จะสังเกตุได้ว่าผิวจะแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด
4. การสัมผัสกับสารเคมี เช่น ทินเนอร์ น้ำมันเบนซิน ผงซักฟอกอุตสาหกรรม เป็นต้น
5. เช็ดตัวแห้งเกินไป ก็ทำให้ผิวแห้งได้ ฉะนั้นหลังจากอาบน้ำ ให้เช็ดผิวแค่หมาดๆ ก็พอ แล้วทาโลชั่น ส่วนจุดอับต่างๆ ต้องเช็ดให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันการอับชื้น
6. การดื่มน้ำน้อยเกินไป แน่นอนว่าจะทำให้ผิวแห้ง และหน้าตาผิวพรรณดูไม่อิ่มเอิบ ไม่มีน้ำมีนวล ดูหมองๆ
7. การขัดผิวแรงเกินไป อาจส่งผลให้ผิวแห้งได้เหมือนกัน ฉะนั้นให้ขัดผิวด้วยความแรงพอประมาณ และหลังจากอาบน้ำเสร็จให้ทามอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวด้วยนะ


วิธีแก้ผิวแห้งที่ได้ผลดีมาก
เปลี่ยนนิสัยการอาบน้ำนาน
หากตอนนี้คุณเป็นอีกคนที่ชอบอาบน้ำนานๆ ให้คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้แล้วนะคะ เพราะว่าการอาบน้ำนานเกิน 15 นาที จะทำให้ผิวขาดความสมดุล ผิวจะแห้งตึงเพราะสูญเสียน้ำ ฉะนั้นควรเพิ่มความไวในการอาบน้ำนิดนึงนะคะ


ทาตัวด้วยเบบี้ออยล์
วิธีการก็คือหลังจากที่คุณอาบน้ำล้างตัวเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งเช็ดตัว รอให้หยดน้ำที่ติดผิวแห้งลงนิดนึง แล้วใช้เบบี้ออยล์ทาให้ทั่วตัวเลยค่ะ รอประมาณ 5 นาที จึงใช้ผ้าขนหนูมาซับให้ทั่ว เอาให้แห้งหมาดๆ ก็พอนะคะ ทำเป็นประจำทุกวัน ช่วยแก้ผิวแห้งได้ วิธีนี้อาจจะรู้สึกว่าตัวมันนิดนึงนะคะ
พยายามอย่าอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ
การที่เราอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ จะทำให้ไขมันในชั้นผิว ถูกชะล้างออกไปมากเกินความจำเป็น ผิวไม่อาจกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผิวของคุณจึงแห้งได้ง่าย แต่การอาบน้ำในหน้าหนาว เราจะปฏิเสธการอาบน้ำอุ่นไม่ได้ เพราะมันหนาวจับใจเหลือเกิน ให้คุณใช้วิธีอาบน้ำอุ่นก่อน เมื่อฟอกสบู่ ขัดตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ใช้น้ำอุณหภูมิปกติมาชำระล้างร่างกาย ซึ่งเป็นการกระชับรูขุมขนไปด้วยนั่นเอง
ทาโลชั่นหลังจากอาบน้ำเสร็จ
เมื่อคุณอาบน้ำเสร็จแล้ว ควรทาโลชั่น หรือครีมทาผิว เพื่อไม่ให้ผิวของคุณแห้งนั่นเอง รู้หรือไม่ว่าตอนที่คุณอาบน้ำแล้วใช้ใยบวบ หรือหินขัดขี้ไคล อาจทำให้ผิวถูดขูดออกไป ทำให้ผิวชั้นนอกบางลง ผิวจึงแห้งง่าย ฉะนั้นควรทาโลชั่นที่มีมอยเจอไรเซอร์ เพื่อให้ผิวของคุณชุ่มชื้นอยู่ตลอดนั่นเอง


ทาด้วยทาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
ใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาทาผิวที่แห้ง จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และรักษาผิวที่แตก ลอกเป็นขุยได้เป็นอย่างดี แม้แต่ผิวที่ไหม้จากแดด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นยังช่วยให้ผิวนวลเนียนได้อีกด้วย ประโยชน์เยอะจริงๆ
ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีมากๆ และช่วยเหลือคนที่ผิวแห้งได้อีกด้วย เพราะตอนที่เราออกกำลังกาย โลหิตของเราจะไหลเวียนได้ดี และผิวหนังจะทำปฏิกิริยาขจัดเซลล์ผิวเก่าออกมากับเหงื่อไคล ผิวดูดีขึ้น สดชื่นเปล่งปลั่ง

ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวแห้งมากขนาดไหน เมื่อได้เจอวิธีแก้ผิวแห้งทั้งหมดนี้แล้ว ก็ลองเอาวิธีต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ หากคุณมีอาการผิวแห้งก็อย่าปล่อยไว้นาน ให้รีบรักษา เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดผิวแตกเป็นขุย และเกิดแผลเล็กๆ ขึ้นมาได้ เมื่อถึงขั้นนั้นคุณจะแสบและอาจเกิดแผลเป็นเล็กๆ ให้ได้รักษาอีก จะยิ่งรักษาได้ยากกว่าเดิม ขอให้ทุกคนมีผิวพรรณที่สวยสุขภาพดีกันทุกคน ใครที่ผิวแห้ง ก็ขอให้หายไวๆ จะได้กลับมาสวยสดใสเหมือนดังเดิม


แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีดูแลผิวให้สวยใส....ก่อนขึ้นเครื่องบิน


               พอใกล้จะวันหยุดยาวทีไร คุณก็เริ่มวางแผนเที่ยวสำหรับวันหยุดถัดไปของคุณกันแล้วใช่มั้ยคะ! 

               แต่ว่าก่อนที่จะได้สนุกกับวันหยุดพักผ่อนที่รอคอย คุณมักจะก็ต้องผ่านคิวยาวที่สนามบิน การเดินทางบนเครื่องบินที่ความกดอากาศต่ำและแห้ง และอาการเจ็ตแล็กอีกด้วย แน่นอนเลยค่ะว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะยังดูสดชื่น กระปรี้กระเป่าตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนถึงจุดหมายปลายทาง!

               แล้วจะทำอย่างไรดีหละคะ เรามีชุดคู่มือรักษาความสวยให้สดใสตลอดการเดินทางมาฝากค่ะ รับรองค่ะว่าไม่ผิดกฎมาตรการรักษาความปลอดภัยของสายการบินแน่นอน 100%!

สิ่งที่คุณควรทราบก่อนออกเดินทาง

               คุณสาวๆ จะต้องหาถุงซิบล็อคแบบใส (เช่น ถุงซิบล็อกที่ใช้บรรจุอาหาร) ขนาดใหญ่ที่สามารถใส่ของได้ประมาณหนึ่งลิตร (20 x 20 ซม.) เพื่อเอาไว้ใส่สารพัดอุปกรณ์ความงามที่เป็นของเหลวในถุงใบเดียวนี้ สายการบินจะอนุญาตให้คุณนำของเหลวขึ้นเครื่องรวมทั้งหมดได้ไม่เกินหนึ่งลิตรค่ะ ดังนั้น อย่าลืมตรวจดูนะคะว่าขวดแต่ละชิ้นนั้นจะต้องมีปริมาณไม่เกิน 100 มล.

สิ่งที่คุณควรนำติดตัวไปด้วย

1) กระดาษเช็ดเครื่องสำอางจำนวน 1 ห่อ

ประโยชน์: เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าระหว่างเดินทางค่ะ ให้คุณเช็ดหน้าให้สะอาดอย่างหมดจดและค่อยทาครีมบำรุงผิว ทางที่ดีแล้วคุณควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าเวลาเดินทางนะคะ เพราะมันจะทำให้สภาพผิวของคุณแย่ลง คุณจะไม่สามารถทาครีมรองพื้นและแป้งได้เลย (ยิ่งเมื่อเจอกับความกดอากาศต่ำบนเครื่องก็จะทำให้ผิวของคุณยิ่งแห้งเข้าไปอีกค่ะ!)

2) ครีมมอยส์เจอไรเซอร์ขนาดตัวอย่างจำนวน 2 ขวด = 10 มล.  

ประโยชน์: หากคุณไม่อยากให้ใบหน้าของคุณดูเหน็ดเหนื่อหลังจากที่ลงจากเครื่องบิน คุณต้องผจญกับอากาศอุ่น และแห้งในห้องโดยสาร เพียงแค่คุณทามอยส์เจอไรเซอร์ 2 ขวดที่คุณพกขึ้นเครื่องไปด้วยนั้นแหละค่ะ ให้คุณทาครีมบำรุงหนึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทางแล้วก็ทาซ้ำอีกครั้งหลังจากเดินทางได้ 3-4 ชั่วโมง เพื่อเป็นการเติมความชุ่มชื่นให้ผิวของคุณเอง และก่อนลงเครื่องก็ทาซ้ำอีกรอบนะคะ เพียงเท่านี้ผิวหน้าของคุณก็จะดูนุ่มเนียนใสมีชีวิตชีวาตอนเดินออกจากสนามบินแล้วค่ะ!


3) ลิปบาล์มบำรุงจำนวน 1 แท่ง

ประโยชน์: ลืมลิปสติกหรือลิปกลอสไปเลยนะคะเพราะมันจะทำให้ริมฝีปากของคุณแห้งจนเกินไป แต่ให้คุณพกลิปบาล์มบำรุงริมฝีปากติดตัวไปด้วยซักหนึ่งแท่ง คุณสามารถหยิบขึ้นมาทาได้ตลอดเวลาเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากของคุณแห้ง สิ่งสำคัญเลยอย่าลืมดื่มน้ำและน้ำผลไม้ในระหว่างเดินทางบนเครื่องให้เยอะๆ ด้วยนะคะ!


4) น้ำเกลือจำนวน 2 ขวดเพื่อป้องกันอาการตาแดง = 10 มล.  

ประโยชน์: บอกลาปัญหาตาแดงเวลาลงจากเครื่องบินได้เลยค่ะ เพียงแค่คุณใช้น้ำเกลือหยอดตาก็จะช่วยทำความสะอาดและเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ดวงตาของคุณแล้ว และยังทำให้ดวงตาของคุณดูสดชื่นสดใสเมื่อลงจากเครื่องด้วยนะคะ หากคุณใส่คอนแท็คเลนส์ (แนะนำให้ใส่แว่นแทนเวลาขึ้นเครื่องจะดีกว่านะคะ) และ/หรือมีอาการตาแห้งและระคายเคืองง่าย ก็ให้หยอดน้ำเกลือ 2 หยดสำหรับดวงตาแต่ละข้างในทุกๆ 4 ชั่วโมงก็พอแล้วค่ะ

5) ลูกกลิ้งคืนความสดใสรอบดวงตาแบบเย็นจำนวน 1 ชิ้น = 15 มล.

ประโยชน์: ในระหว่างการเดินทางไปยังโซนเวลาที่แตกต่างกัน บวกกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางระยะไกล และความเย็นจากแอร์ จะทำให้ตาของคุณเกิดอาการบวมและมีถุงใต้ตาอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ลงจากเครื่องแล้ว การใช้ลูกกลิ้งนวดรอบดวงตาเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ การนวดรอบดวงตาจะคืนความสดชื่นให้ดวงตาได้ทันทีและช่วยลดความดันในลูกตาได้ด้วย และขณะเดียวกันการนวดยังช่วยกระตุ้นการขับของเสียและการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอยได้อีกด้วย ดังนั้น ให้คุณใช้ลูกกลิ้งนวดตาเมื่อเริ่มเดินทางได้สักสี่ชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด และที่สำคัญอย่าลืมนวดอีกครั้งก่อนเครื่องจะลงด้วยนะคะ!


6) แผ่นเช็ดระงับกลิ่นกายจำนวน 1 ห่อ

ประโยชน์: ให้คุณใช้อย่างน้อยทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อสร้างความสดชื่นกระปรี้กระเป่าอยู่เสมอ ตามความเป็นจริงแล้วแผ่นเช็ดระงับกลิ่นกายนี้ไม่ช่วยระงับกลิ่นเหงื่อได้ดีเท่าโรลออนหรอกนะคะ แต่เพื่อความสะดวกและดูไม่น่าเกลียดสำหรับการเดินทางไกลในลัษณะนี้ แผ่นเช็ดระงับกลิ่นกายจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้คุณต้องกังวลเกี่ยวกับกลิ่นตัวตลอดการเดินทางค่ะ!

7) ชุดแปรงสีฟันพับได้ และยาสีฟันหลอดเล็กจำนวน 1 ชุด = 15 มล.

ประโยชน์: คุณคงไม่อยากพกยาสีฟันหลอดยักษ์และแปรงสีฟันที่ใช้อยู่ใส่กระเป๋าขึ้นเครื่องแน่ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า) เพื่อให้คุณมีลมหายใจสดชื่นและช่องปากที่สะอาด และมั่นใจได้ตลอดการเดินทาง (การเคี้ยวหมากฝรั่งไม่สามารถป้องกันกลิ่นปากได้หลังจากเดินทางไปได้สักสองสามชั่วโมงค่ะ) เพียงแค่คุณซื้อชุดแปรงสีฟันขนาดพกพาได้จากร้านสุขภาพและความงามทั่วไป หรือจะตามซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ก็ได้ค่ะ

8) สเปรย์น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์จำนวน 1 ขวด = 50 มล.

ประโยชน์: กลิ่นลาเวนเดอร์เป็นกลิ่นธรรมชาติที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายจากความเครียดได้ ให้คุณฉีดสเปรย์ลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วสูดดมในเวลาที่คุณรู้สึกวิตกกังวลหรือเหนื่อยล้าขณะเดินทาง


9) สเปรย์ฉีดแก้ปวดเมื่อยและผ่อนคลายจำนวน 1 ขวด = 50 มล.

ประโยชน์: ช่วยลดความดันและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณขาได้ด้วย เราขอแนะนำให้คุณลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อยืดเส้นยืดสายจะเป็นการช่วยลดอาการปวดเมื่อย อาการบวม หรืออาการชาเนื่องจากการนั่งเป็นระยะเวลานานได้ค่ะ และคุณควรหลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างหรือนั่งงอข้อเท้าด้วยนะคะ





แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th


สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!

Share: Line

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เราดูแลผิวหน้าแฝงทำร้ายไปด้วยอยู่หรือเปล่า


ผู้หญิงเราทุกวันนี้ คงไม่มีใครปล่อยปละละเลยผิวพรรณตัวเอง ใครล่ะจะอยากหน้าแก่ มีรอยเหี่ยวย่น แต่วิธีที่เราดูแลนี่สิผิดวิธีอยู่หรือเปล่า ยิ่งดูแลยิ่งกลายเป็นการทำร้ายผิวมากขึ้นล่ะสิ

1. ไม่ล้างหน้าก่อนนอน 
สาว ๆ คนไหนทำกันบ่อย สารภาพมาซะดี ๆ และขอบอกเลยว่ารีบหยุดพฤติกรรมนี้โดยเด็ดขาด เพราะผิวหน้าของเรานั้นต้องเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ มาทั้งวันแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายถึงหน้าของเราจะมีสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่มากมาย ถ้าหากไม่ล้างหน้าก่อนนอน แบคทีเรียหรือเชื้อโรคต่าง ๆ ก็จะแพร่กระจายและฝังตัว ซึ่งจะทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่ายมาก ๆ

2. ทาครีมไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศ 
สาว ๆ ต้องทำความเข้าใจนะคะว่าอากาศในบ้านเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ ทั้งร้อนแห้ง ร้อนชื้น หรือหนาวเย็น ถ้าหากสาว ๆ ใช้ครีมอยู่แค่ชนิดเดียวเป็นประจำ หรือไม่เลือกใช้ครีมให้เหมาะกับสภาพอากาศ ผิวของคุณก็จะเสียสมดุลเอาได้ ดังนั้นจึงควรเลือกครีมบำรุงให้เหมาะสภาพผิวของเราและเหมาะกับช่วงเวลาจะดีที่สุดค่ะ

3. บีบสิวเป็นประจำ 
การบีบสิวนอกจากจะทำให้ใบหน้าเป็นแผลช้ำ ๆ และดูไม่น่ามองแล้ว อาจจะทำให้สิวติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนอักเสบลุกลามไปทั่วใบหน้าก็เป็นได้

4. ไม่ล้างมือก่อนทาครีม 
เพราะก่อนเอามือมาชโลมครีมทั่วใบหน้านั้น ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มือเราไปสัมผัสกับอะไรมาบ้าง ซึ่งบางทีอาจมีเชื้อโรคติดอยู่ หากสัมผัสกับใบหน้าโดยตรงอาจทำให้เป็นสิว หรือหากเป็นสิวอยู่แล้วก็อาจจะทำให้สิวอักเสบลุกลามเข้าไปใหญ่

5. ถูหน้าแรง ๆ 
จำไว้เลยนะคะสาว ๆ ว่าผิวหน้าของคนเรานั้นถือว่าเป็นอะไรที่บอบบางมาก ๆ ดังนั้นถ้าหากถูแรง ๆ บ่อย ๆ รับรองเลยว่าใบหน้าของคุณจะเกิดริ้วรอยก่อนวัยอย่างแน่นอน

6. ขยี้ตาบ่อย ๆ 
การขยี้ตาบ่อย ๆ ถือเป็นการกระทำที่รบกวนผิวใต้ตาอย่างรุนแรง และจะทำให้ผิวหนังที่บอบบางบริเวณรอบดวงนั้นเกิดรอยยับหรือรอยตีนกาได้ง่าย

7. ไม่ทาครีมกันแดด 
ตัวการทำลายผิวอย่าง รังสียูวีจากแดด มันจะทำลายผิวของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหน้าร้อนเท่านั้น ถ้าหากเราไม่ใส่ใจที่จะทาครีมกันแดด นาน ๆ ไปผิวหน้าของคุณก็จะคล้ำเสียจนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมามีสุขภาพดีเหมือนเดิมได้ นอกจากนี้อาจจะกลายเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

8. สครับผิวหน้าบ่อยเกินไป
จริงอยู่ว่าการสครับผิวจะเป็นการขจัดความหมองคล้ำ เผยให้เห็นผิวหน้าที่ขาวกระจ่างใส แต่ทั้งนี้ไม่ควรที่จะสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะเป็นการทำลายผิว ทำให้ผิวบาง เกิดการระคายเคือง ขาดความชุ่มชื้น และเกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งจำนวนการทำสครับผิวที่เหมาะสมนั้น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

9. เลียริมฝีปาก 
การเลียริมผีปากถือเป็นการทำลายความชุ่มชื้นของปาก สาว ๆ เคยสังเกตไหมคะว่ายิ่งเลียริมฝีปากเท่าไร ปากก็จะยิ่งแห้ง ดังนั้นสาว ๆ จึงไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ เพราะมันจะทำให้ปากลอกแห้งเป็นขุย หรืออาจทำให้เป็นแผลเอาได้ ทางที่ดีควรพกลิปบาล์มติดตัวไว้จะดีที่สุดค่ะ



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

รู้หรือไม่ ....วิธีดูแลผิวบอบบางหลังเผชิญแสงแดดต้องทำอย่างไร


               หลังจากเอนจอยไลฟ์แบบจัดเต็มแล้ว ผิวของเราบอบบางเป็นอย่างมาก เนื่องจากแสงแดดแผดเผา ทำลายสมดุลผิวให้เสียไป ก็ถึงเวลาที่จะกลับมาดูแลผิวกันแล้วค่ะ เพราะผิวสวยๆ ของเราโดนทำลายมาอย่างรุนแรงนะคะ วันนี้จึงขอนำเสนอวิธีการดูแลผิว โดยจะเน้นเรื่องการฟื้นฟูสภาพผิวโดยเฉพาะ เพื่อให้ผิวสวยใสของเรากลับมา ว่าแล้วมาฟื้นฟูผิวเสียกันเลยค่ะ

ทำผิวให้เย็นลง
               ทันทีที่สังเกตเห็นว่าผิวเริ่มลอก ให้คุณอาบน้ำเย็น การอาบน้ำเย็นจะช่วยให้ผิวเย็นลง และลดกระบวนการลอกของผิวให้ช้าลงได้ด้วย นอกจากนี้เมื่อเช็ดตัว ก็ให้ซับแต่เบามือ อย่าเช็ดถูโดยแรงเพราะจะทำให้ผิวยิ่งระคายเคือง และลอกมากขึ้นได้

ดื่มน้ำมาก ๆ
               หลังจากบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นจากภายนอกแล้ว ก็ต้องบำรุงให้ชุ่มชื้นออกมาจากภายในด้วย ทำได้โดยการดื่มน้ำ ยิ่งในยามที่ผิวไหม้และลอกขนาดนี้ น้ำกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งขึ้นในการช่วยให้ผิวฟื้นฟูสภาพได้เร็ว เพราะฉะนั้นอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วนะคะ

อย่าดึงหนังที่กำลังลอกออกมา
               ในช่วงกระบวนการรักษา ผิวชั้นนอกจะค่อย ๆ แห้งและร่อนหลุดออกมา แต่อย่ามือซนไปแกะหรือลอกผิวหนังที่กำลังหลุดร่อนออกมาเด็ดขาด เพราะการดึงให้หนังหลุดลอกออกมานั้นอาจทำให้เกิดอาการอักเสบได้ หากรู้สึกรำคาญสายตาและสัมผัส ให้ใช้กรรไกรเล็ก ๆ ตัดเฉพาะหนังส่วนที่ลอกออกมา แล้วทายาขี้ผึ้งกันการติดเชื้อทับ

ห้ามเกา
               แม้ว่าจะรู้สึกคันมากเพียงใด แต่ก็ห้ามมือซนไปเกาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคุณอาจได้ทำร้ายผิวในระยะยาว ด้วยการฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ หากรู้สึกคันให้บรรเทาด้วยการใช้ผ้าขาวบางหรือผ้าเช็ดหน้าห่อน้ำแข็ง แล้วนำมาทาบกับผิวบริเวณนั้น เมื่อผิวเริ่มเย็นลงอาการคันก็จะทุเลาลงได้

ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย
               เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ และขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่ว พร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว

ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน
               ยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย

ใช้ครีมบำรุงสูตรผิวแพ้ง่าย
               กรณีที่อาบแดดนาน ๆ อยู่ท่ามกลางความร้อนมากเกินไปหรือแพ้สภาพอากาศ อาจทำให้ใบหน้าและบริเวณหน้าอกขึ้นเป็นผื่นแดง วิธีที่ดีที่สุด คือใช้ครีมบำรุงผิวสูตรบรรเทาผื่นแดงสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดขนาดของรอยผื่น และต้องหลบแดดทันทีควบคู่กับการงดทำซาวน่า และอยู่ให้พ้นจากชายหาด ที่มีลมแรงสักระยะ

ใครที่โดนแสงแดดทำลายผิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปบำรุงผิวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมกันได้นะคะ




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ผิวหน้าแพ้ง่าย รู้ได้อย่างไร?



               ผิวบอบบางและแพ้ง่ายเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณในร่างกายของเรา แต่เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้นบนใบหน้ามักจะทำให้คนอื่นสามารถสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย ผิวที่แพ้ง่ายเกิดจากการที่เกราะป้องกันผิวมีความผิดปกติ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำและสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองสามารถเข้ามาทำร้ายผิวได้ อาการของผิวแพ้ง่ายนั้นจะหนักขึ้นหากโดนปัจจัยจากภายนอกอย่าง แสงแดด หรือสารบางชนิดในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว การเข้าใจถึงสาเหตุของผิวหน้าที่แพ้ง่ายรวมถึงปัจจัยที่อาจทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น จะสามารถช่วยให้เราควบคุมและลดอาการและความถี่ของการเกิดปัญหาขึ้นได้

               ผิวของเราเป็นอวัยวะที่มีความมหัศจรรย์ ผิวที่มีสุขภาพดีมีขั้นตอนการทำงานของส่วนต่างๆ ที่สลับซับซ้อนในการสร้างสมดุลย์ในผิวและปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก เซลล์ผิวและไขมันที่อยู่ในชั้นผิวไม่ต่างกับอิฐและปูนที่เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบเพื่อสร้างความมั่นคงและแข็งแรงให้กับโครงสร้างของผิว

               ชั้นบนสุดของผิวหนังกำพร้าทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันร่างกายจากปัจจัยภายนอกในผิวที่มีสุขภาพดี เกราะป้องกันทำหน้าที่กักเก็บความชื้น ป้องกันผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายแต่สำหรับผิวแพ้ง่ายนั้น การทำงานของเอนไซม์ที่ผิดปกติทำให้ผิวบอบบาง อ่อนแอ เกราะป้องกันผิวไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการสูญเสียน้ำและเปิดโอกาสให้ปัจจัยภายนอกเข้ามาทำร้ายผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดขึ้นที่ผิวหน้าแล้วอาการมักจะรุนแรงและเห็นได้ชัดเนื่องจากต้องเจอกับปัจจัยภายนอกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด มลภาวะ และสารเคมี

อาการที่บ่งบอกว่าผิวคุณแพ้ง่าย เช่น

  • ผิวลอกเป็นขุย ผิวแดง ผื่น อาการบวม ผิวแตก ผิวแห้งกร้าน หยาบ
  • ในบางกรณีอาจมีอาการคัน แสบ ตึง ร่วมด้วย

ผิวหน้าที่แพ้ง่ายและมีปฏิกิริยาไว มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องสำอาง การดูแลผิว อายุ และการสูญเสียน้ำด้วย โดยอาการมักจะเกิดขึ้นหลังจากการทาผลิตภัณฑ์โดยทันที หรืออาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือในบางกรณีหลายวัน อาการอาจรวมไปถึงแสบผิว และอาจมีอาการผิวแดง ผิวตกสะเก็ด ผิวแตก ร่วมด้วย

อะไรทำให้ผิวแพ้ง่าย

ปัจจัยภายในที่ทำให้ผิวแพ้ง่าย
               ผิวแพ้ง่ายสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ แต่มักพบบ่อยในเด็กทารกและเมื่อเริ่มมีอายุ ผิวเด็กทารกมีความหนาประมาณเศษ 1 ส่วน 5 ของผิวผู้ใหญ่และเกราะป้องกันผิวยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ จึงทำให้เซนซิทิฟต่อสารเคมี และรังสียูวี ส่วนผิวผู้ใหญ่นั้นเมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของเกราะป้องกันผิวก็เริ่มเสื่อมสภาพลง ไขมันในชั้นผิวเริ่มลดลง การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนไม่ว่าจะจากการตั้งครรภ์หรือวัยหมดประจำเดือนล้วนมีผลกระทบกับความสามารถของผิวในการป้องกันสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคือง นอกจากนั้นแล้วความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอ ยังเป็นอีกสองปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้อาการผิวแพ้ง่ายปะทุขึ้นมาได้ โดยบางครั้งเมื่อควบคู่กับการรับประทานอาหารที่ขาดคุณค่าทางโภชนาการและการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ก็จะทำให้ผิวที่แห้ง ขาดน้ำ และระคายเคืองอยู่แล้วเกิดอาการแพ้ขึ้น

ปัจจัยภายนอกที่ทำให้ผิวแพ้ง่าย

  • ผิวหน้าของเราต้องเจอกับปัจจัยภายนอกต่างๆ มากมาย แต่ละฤดู สภาพอากาศที่แตกต่างกันนำมาซึ่งปัจจัยที่อาจกระตุ้นทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ขึ้นได้
  • อากาศหนาวมาก ทำให้ผิวหนังลดการปล่อยสารที่รักษาสมดุลย์ไขมันบนใบหน้า ในขณะที่อากาศร้อนทำให้เหงื่อที่ออกมาและระเหย ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย การอยู่ในห้องแอร์ตลอดทั้งวัน หรืออยู่ในที่ๆ มีความชื้นต่ำก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน
  • รังสียูวีและมลภาวะอื่นๆ ก็ทำให้ผิวอยู่ในอาการเครียดและก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้เกราะป้องกันของผิวหนังอ่อนแอ การโดนแสงแดดนานๆ โดยไม่ได้ทาครีมกันแดดป้องกันทำให้ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ และระคายเคืองได้ง่าย
  • สารทำความสะอาดบางชนิดทำให้ไขมันธรรมชาติในผิวหายไป ส่วนน้ำหอม สี และแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์บางประเภทก็ทำให้ผิวระคายเคืองได้เช่นกันอากาศเย็นอาจทำร้ายฟิล์มบางๆ ที่ทำหน้าที่ปกป้องผิว และอาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ได้ง่ายมลภาวะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระทำร้ายเกราะปกป้องผิวขึ้น


ปัจจัยอื่นๆ

  • เมื่อผิวของเราแพ้ง่ายแล้ว พฤติกรรมหรือเหตุการณ์บางประเภทอาจทำให้อาการแพ้แย่ขึ้นหรือมีอาการเป็นเวลานานขึ้น
  • ปัจจัยหลักที่มีส่วนทำให้ผิวแพ้ง่ายคือการดูแลผิวในแต่ละวันทั้งในเวลาเช้าและก่อนนอน สารทำความสะอาดทั่วไปมักจะชำระล้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติออกไปด้วย นอกจากนั้นแล้วมอยส์เจอไรเซอร์บางชนิดก็อาจมีสารที่ทำให้ผิวระคายเคือง ทำให้ผิวแดงหรือแสบ
  • เคมิคอล พีล และการใช้สครับขัดผิวหน้า จะทำให้ฟิล์มไขมันบางๆ ที่ปกป้องผิวหลุดออก นอกจากนั้นยังทำร้ายชั้นบนของหนังแท้ด้วย ถึงแม้การทำทรีทเม้นท์ทั้งสองประเภทนี้อาจมีประโยชน์ในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและช่วยลดเลือนริ้วรอยบางๆ ได้บ้าง แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว โดยเฉพาะผิวที่แพ้ง่ายอยู่แล้วด้วย


บรรเทาอาการผิวหน้าแพ้ง่ายอย่างไร

  • การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์สามารถช่วยได้
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น วิตามินเอ ซี และ อี น้ำมันในพืชและปลา สามารถช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีได้
  • แม้ในวันที่เมฆครึ้ม ผิวหน้าของเราก็ยังคงต้องเจอกับรังสียูวี ดังนั้นการหมั่นทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญ และควรหลีกเลี่ยงการออกแดดระหว่างเวลา 11.00 - 15.00 น. ควรเลือกครีมกันแดดที่ปราศจากสารระคายเคืองผิวเช่นน้ำหอมบางประเภท สารต้านอนุมูลอิสระและน้ำมันธรรมชาติช่วยฟื้นฟูให้ผิวกลับมามีสุขภาพดีได้ ก่อนเลือกซื้อเครื่องสำอาง โดยเฉพาะสำหรับผิวที่แพ้ง่าย ควรทดลองผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก่อนด้วยการทาลงบนบริเวณแขนและสังเกตอาการเป็นเวลา 24 ชั่วโมง


Share: Line

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวอย่างไรดี?



               คุณเคยรู้สึกสงสัยบ้างหรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์เนม มีความรู้เรื่องเครื่องสำอางที่ตนเองขายและสภาพผิวของคุณดีพอแค่ไหน?   คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเครื่องสำอางที่เขาแนะนำให้คุณซื้อนั้นเหมาะกับสภาพผิวของคุณจริง?

               คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่คาใจคุณ! ด้วยเหตุนี้ คุณจึงต้องเรียนรู้เรื่องผิวประเภทต่างๆ และผลิตภัณฑ์ให้ดีก่อนควักเงินซื้อ

         คุณอาจจะมีคำถามว่า... แล้วมอยเจอร์ไรเซอร์จะเหมาะกับผิวประเภทไหน?
มอยเจอร์ไรเซอร์นั้นให้ประโยชน์กับผิวแห้ง หรือบริเวณที่แห้งในคนที่มีผิวผสมได้มากกว่า โดยจะช่วยให้ skin barrier ทำงานได้ดีขึ้น ลดการระคายเคืองและการแพ้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวดูนุ่มชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย
         แต่อย่างไรก็ตาม การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เพียงอย่างเดียวนั้น ดูเหมือนจะไม่ช่วยในการลดริ้วรอยหรือสัญญาณที่บ่งบอกอาการชราของผิวได้    ดังนั้น ถ้าหากคุณรู้สึกว่า คุณต้องการที่จะเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้วละก็ คุณควรจะแน่ใจว่า คุณได้เลือกชนิดของมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับชนิดของผิวคุณมากที่สุด ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้

มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดอิมัลชัน (Emulsion based moisturizers)
             โดยทั่วไป น้ำและน้ำมันไม่สามารถรวมตัวกันได้และไม่สามารถละลายในซึ่งกันและกันได้เช่นกัน  ดังนั้นเมื่อเราผสมน้ำและน้ำมัน ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันแล้วเขย่า จะเกิดเป็นหยดของน้ำมันเล็กๆ ขึ้นในน้ำ ซึ่งส่วนผสมทั้งสองจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างคงตัว ต้องใช้สารที่เรียกว่า สารอีมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) ที่เป็นสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) สารนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้หยดของน้ำและน้ำมันเกิดการรวมตัวกัน ทั้งใน oil in water อิมัลชัน และใน water in oil อิมัลชัน จุดนี้ อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนผิวแห้งที่ผลิตน้ำมันได้เพียงเล็กน้อย
              มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิด oil in water อิมัลชันค่อนข้างที่จะมีเนื้อที่หนักกว่า ทำให้เหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง เนื่องจากมอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้มีแน้วโน้มที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดสิวมากกว่ามอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่ปราศจากน้ำมัน   ดังนั้นจึงไม่ควรใช้กับคนที่มีผิวธรรมดาและผิวมัน


มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่เคลือบผิว (Occlusive moisturizers)
               มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้จะช่วยเคลือบผิว โดยการสร้างฟิล์มบางๆ เคลือบที่ชั้นบนสุดของผิวและสามารถกันน้ำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว  ส่วนประกอบของสารที่ช่วยเคลือบผิวกลุ่มนี้ ได้แก่ petrolatum เช่น วาสลีน, mineral oil, siloxane เช่น dimethicone และ cyclomethicone เป็นต้น   สารเหล่านี้อาจจะทำให้รูขุมขนอุดตันและทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
               ในคนผิวแห้ง ถ้าหากใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิด oil in water อิมัลชันแล้ว ไม่ช่วยให้ดีขึ้นก็ควรจะเปลี่ยนมาเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้แทน  กรณีเช่นนี้อาจเกิดได้จาก ผิวแห้งที่เกิดจากการสูญเสียน้ำจากผิวหนังเป็นจำนวนมาก การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่เคลือบผิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มี siloxane เป็นส่วนประกอบน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากช่วยเคลือบคลุมผิวเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำในชั้นผิวหนังได้ดีกว่าและทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น


มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free moisturizers)
               มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้มักจะเรียกกันว่า Humectants ซึ่งเป็นสารที่สามารถดึงดูดน้ำเข้ามาและตัวมันเองยังสามารถอุ้มน้ำที่ดูดมาไว้ได้ จึงเปรียบเสมือนเป็นการกักเก็บน้ำไปด้วยในตัว สารในกลุ่มนี้ได้แก่ propylene glycol, glycerin, sodium PCA, hyaluronic acid, colloidal oatmeal, collagen และอื่นๆ เป็นต้น
               ถ้าหากคุณมีผิวมันหรือผิวธรรมดาและรู้สึกว่าต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังแล้วละก็ คุณควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่ปราศจากน้ำมันที่ว่านี้น่าจะเหมาะที่สุด แต่มอยเจอร์ไรเซอร์ในกลุ่มนี้จะมีราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น!


มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่คงอยู่ได้เป็นเวลานาน (Long-lasting moisturizers)
               คนผิวแห้งในบางกรณีหรือในสภาวะอากาศที่แห้งมากๆ มอยเจอร์ไรเซอร์ธรรมดาอาจจะไม่สามารถช่วยได้ เนื่องจากให้ความชุ่มชื้นได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นผิวก็จะกลับมาแห้งอีกเหมือนตอนก่อนใช้   ดังนั้นมอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่สามารถคงอยู่ได้นานนี้ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แทนที่จะต้องมาทามอยเจอร์ไรเซอร์ธรรมดาซ้ำทุกๆ สองชั่วโมง
               มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้จะประกอบไปด้วยคุณสมบัติสำคัญต่างๆ ของมอยเจอร์ไรเซอร์หลายชนิดมารวมกัน ประกอบไปด้วยสารที่เป็น humectant และ occlusive หลายชนิด เช่น dimethicone, colloidal oatmeal, glycerin, sodium PCA, hyaluronic acid, petrolatum และอื่นๆ เป็นต้น — มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งรุนแรงมาก





แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!

Share: Line

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เคล็ด(ไม่)ลับ ปรับสมดุลให้ผิวคุณ


         สาวๆรู้หรือไม่คะ ว่าโดยทั่วไปสภาพผิวของผู้หญิงส่วนใหญ่มีผิวมัน แต่กลับมีความชุ่มชื่นน้อย นั่นเป็นเพราะผลจากอุณหภูมิที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา เพราะเมื่อก้าวออกไปนอกอาคารต้องพบกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว กระตุ้นให้ผิวหน้าขับน้ำมันเคลือบผิวออกมามากกว่าปกติ แต่เมื่อกลับเข้าไปทำงานหรือกิจกรรมภายในอาคาร ก็ต้องเจอกับอุณหภูมิที่เย็นลงและมีความชุ่มชื้นน้อยของห้องปรับอากาศ ผิวจึงแห้งตึง อันเป็นผลทำให้ผิวไม่สามารถปรับสภาพได้ทัน จึงเป็นเหตุให้ผิวเสียสมดุล
ดังนั้น วันนี้เรามาดูเคล็ด(ไม่)ลับ ดีๆ ที่นำมาฝากกันดีกว่าค่ะ ที่จะช่วยคืนความมีชีวิตชีวาให้ผิวของสาวๆได้กลับมาสวยอีกครั้ง

ดื่มน้ำชุ่มชื้นจากภายใน 
หลายๆ ท่านอาจจะโฟกัสบำรุงเฉพาะผิวกันอย่างเดียว จนลืมไปแล้วว่าผิวนั้นต้องการความชุ่มชื้นซึ่งการดื่มน้ำนั่นคือส่วนสำคัญที่จะปรับสมดุลให้กับชีวิตและผิวพรรณ ในหนึ่งวันต้องดื่มน้ำให้ได้ 1.5 ลิตรเป็นอย่างน้อยนะคะ

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสมดุล 
ความสมดุลของผิวตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้เมื่อเซลล์ผิวมีน้ำและน้ำมันในชั้นผิวอยู่ในระดับที่พอเหมาะ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสมดุลอย่าง โทนเนอร์ คงความชุ่มชื่นและรักษาสมดุลความมันบนผิวจึงเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ

อย่ามองข้ามการพักผ่อน 
ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า พักผ่อนที่ไม่เพียงพอคือปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวแห้งตึง หยาบกร้านเพราะผิวเริ่มอ่อนล้า ปลายประสาทภายในผิวถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนที่มากเกินไปจากสภาพจิตใจ ฉะนั้นอย่ามองข้ามการพักผ่อนนะคะ


ทำความสะอาดผิวให้ถูกวิธี 
การอาบน้ำ นอกจากจะเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกแล้ว ยังช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์กลับมาทำงานตามปกติ ที่สำตัญห้ามถู หรือขัดแรงเกินไป เพราะจะทำให้เซลล์ผิวเกิดบาดแผลได้ เบามือกับผิวเราหน่อยนะคะเพื่อให้ผิวสวยอยู่คู่เราไปนานๆ ค่ะ





แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line