วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีดูแลผิวให้สวยใส....ก่อนขึ้นเครื่องบิน


               พอใกล้จะวันหยุดยาวทีไร คุณก็เริ่มวางแผนเที่ยวสำหรับวันหยุดถัดไปของคุณกันแล้วใช่มั้ยคะ! 

               แต่ว่าก่อนที่จะได้สนุกกับวันหยุดพักผ่อนที่รอคอย คุณมักจะก็ต้องผ่านคิวยาวที่สนามบิน การเดินทางบนเครื่องบินที่ความกดอากาศต่ำและแห้ง และอาการเจ็ตแล็กอีกด้วย แน่นอนเลยค่ะว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะยังดูสดชื่น กระปรี้กระเป่าตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนถึงจุดหมายปลายทาง!

               แล้วจะทำอย่างไรดีหละคะ เรามีชุดคู่มือรักษาความสวยให้สดใสตลอดการเดินทางมาฝากค่ะ รับรองค่ะว่าไม่ผิดกฎมาตรการรักษาความปลอดภัยของสายการบินแน่นอน 100%!

สิ่งที่คุณควรทราบก่อนออกเดินทาง

               คุณสาวๆ จะต้องหาถุงซิบล็อคแบบใส (เช่น ถุงซิบล็อกที่ใช้บรรจุอาหาร) ขนาดใหญ่ที่สามารถใส่ของได้ประมาณหนึ่งลิตร (20 x 20 ซม.) เพื่อเอาไว้ใส่สารพัดอุปกรณ์ความงามที่เป็นของเหลวในถุงใบเดียวนี้ สายการบินจะอนุญาตให้คุณนำของเหลวขึ้นเครื่องรวมทั้งหมดได้ไม่เกินหนึ่งลิตรค่ะ ดังนั้น อย่าลืมตรวจดูนะคะว่าขวดแต่ละชิ้นนั้นจะต้องมีปริมาณไม่เกิน 100 มล.

สิ่งที่คุณควรนำติดตัวไปด้วย

1) กระดาษเช็ดเครื่องสำอางจำนวน 1 ห่อ

ประโยชน์: เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าระหว่างเดินทางค่ะ ให้คุณเช็ดหน้าให้สะอาดอย่างหมดจดและค่อยทาครีมบำรุงผิว ทางที่ดีแล้วคุณควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าเวลาเดินทางนะคะ เพราะมันจะทำให้สภาพผิวของคุณแย่ลง คุณจะไม่สามารถทาครีมรองพื้นและแป้งได้เลย (ยิ่งเมื่อเจอกับความกดอากาศต่ำบนเครื่องก็จะทำให้ผิวของคุณยิ่งแห้งเข้าไปอีกค่ะ!)

2) ครีมมอยส์เจอไรเซอร์ขนาดตัวอย่างจำนวน 2 ขวด = 10 มล.  

ประโยชน์: หากคุณไม่อยากให้ใบหน้าของคุณดูเหน็ดเหนื่อหลังจากที่ลงจากเครื่องบิน คุณต้องผจญกับอากาศอุ่น และแห้งในห้องโดยสาร เพียงแค่คุณทามอยส์เจอไรเซอร์ 2 ขวดที่คุณพกขึ้นเครื่องไปด้วยนั้นแหละค่ะ ให้คุณทาครีมบำรุงหนึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทางแล้วก็ทาซ้ำอีกครั้งหลังจากเดินทางได้ 3-4 ชั่วโมง เพื่อเป็นการเติมความชุ่มชื่นให้ผิวของคุณเอง และก่อนลงเครื่องก็ทาซ้ำอีกรอบนะคะ เพียงเท่านี้ผิวหน้าของคุณก็จะดูนุ่มเนียนใสมีชีวิตชีวาตอนเดินออกจากสนามบินแล้วค่ะ!


3) ลิปบาล์มบำรุงจำนวน 1 แท่ง

ประโยชน์: ลืมลิปสติกหรือลิปกลอสไปเลยนะคะเพราะมันจะทำให้ริมฝีปากของคุณแห้งจนเกินไป แต่ให้คุณพกลิปบาล์มบำรุงริมฝีปากติดตัวไปด้วยซักหนึ่งแท่ง คุณสามารถหยิบขึ้นมาทาได้ตลอดเวลาเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากของคุณแห้ง สิ่งสำคัญเลยอย่าลืมดื่มน้ำและน้ำผลไม้ในระหว่างเดินทางบนเครื่องให้เยอะๆ ด้วยนะคะ!


4) น้ำเกลือจำนวน 2 ขวดเพื่อป้องกันอาการตาแดง = 10 มล.  

ประโยชน์: บอกลาปัญหาตาแดงเวลาลงจากเครื่องบินได้เลยค่ะ เพียงแค่คุณใช้น้ำเกลือหยอดตาก็จะช่วยทำความสะอาดและเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ดวงตาของคุณแล้ว และยังทำให้ดวงตาของคุณดูสดชื่นสดใสเมื่อลงจากเครื่องด้วยนะคะ หากคุณใส่คอนแท็คเลนส์ (แนะนำให้ใส่แว่นแทนเวลาขึ้นเครื่องจะดีกว่านะคะ) และ/หรือมีอาการตาแห้งและระคายเคืองง่าย ก็ให้หยอดน้ำเกลือ 2 หยดสำหรับดวงตาแต่ละข้างในทุกๆ 4 ชั่วโมงก็พอแล้วค่ะ

5) ลูกกลิ้งคืนความสดใสรอบดวงตาแบบเย็นจำนวน 1 ชิ้น = 15 มล.

ประโยชน์: ในระหว่างการเดินทางไปยังโซนเวลาที่แตกต่างกัน บวกกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางระยะไกล และความเย็นจากแอร์ จะทำให้ตาของคุณเกิดอาการบวมและมีถุงใต้ตาอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ลงจากเครื่องแล้ว การใช้ลูกกลิ้งนวดรอบดวงตาเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ การนวดรอบดวงตาจะคืนความสดชื่นให้ดวงตาได้ทันทีและช่วยลดความดันในลูกตาได้ด้วย และขณะเดียวกันการนวดยังช่วยกระตุ้นการขับของเสียและการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอยได้อีกด้วย ดังนั้น ให้คุณใช้ลูกกลิ้งนวดตาเมื่อเริ่มเดินทางได้สักสี่ชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด และที่สำคัญอย่าลืมนวดอีกครั้งก่อนเครื่องจะลงด้วยนะคะ!


6) แผ่นเช็ดระงับกลิ่นกายจำนวน 1 ห่อ

ประโยชน์: ให้คุณใช้อย่างน้อยทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อสร้างความสดชื่นกระปรี้กระเป่าอยู่เสมอ ตามความเป็นจริงแล้วแผ่นเช็ดระงับกลิ่นกายนี้ไม่ช่วยระงับกลิ่นเหงื่อได้ดีเท่าโรลออนหรอกนะคะ แต่เพื่อความสะดวกและดูไม่น่าเกลียดสำหรับการเดินทางไกลในลัษณะนี้ แผ่นเช็ดระงับกลิ่นกายจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้คุณต้องกังวลเกี่ยวกับกลิ่นตัวตลอดการเดินทางค่ะ!

7) ชุดแปรงสีฟันพับได้ และยาสีฟันหลอดเล็กจำนวน 1 ชุด = 15 มล.

ประโยชน์: คุณคงไม่อยากพกยาสีฟันหลอดยักษ์และแปรงสีฟันที่ใช้อยู่ใส่กระเป๋าขึ้นเครื่องแน่ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า) เพื่อให้คุณมีลมหายใจสดชื่นและช่องปากที่สะอาด และมั่นใจได้ตลอดการเดินทาง (การเคี้ยวหมากฝรั่งไม่สามารถป้องกันกลิ่นปากได้หลังจากเดินทางไปได้สักสองสามชั่วโมงค่ะ) เพียงแค่คุณซื้อชุดแปรงสีฟันขนาดพกพาได้จากร้านสุขภาพและความงามทั่วไป หรือจะตามซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ก็ได้ค่ะ

8) สเปรย์น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์จำนวน 1 ขวด = 50 มล.

ประโยชน์: กลิ่นลาเวนเดอร์เป็นกลิ่นธรรมชาติที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายจากความเครียดได้ ให้คุณฉีดสเปรย์ลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วสูดดมในเวลาที่คุณรู้สึกวิตกกังวลหรือเหนื่อยล้าขณะเดินทาง


9) สเปรย์ฉีดแก้ปวดเมื่อยและผ่อนคลายจำนวน 1 ขวด = 50 มล.

ประโยชน์: ช่วยลดความดันและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณขาได้ด้วย เราขอแนะนำให้คุณลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อยืดเส้นยืดสายจะเป็นการช่วยลดอาการปวดเมื่อย อาการบวม หรืออาการชาเนื่องจากการนั่งเป็นระยะเวลานานได้ค่ะ และคุณควรหลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างหรือนั่งงอข้อเท้าด้วยนะคะ





แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th


สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!

Share: Line

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เราดูแลผิวหน้าแฝงทำร้ายไปด้วยอยู่หรือเปล่า


ผู้หญิงเราทุกวันนี้ คงไม่มีใครปล่อยปละละเลยผิวพรรณตัวเอง ใครล่ะจะอยากหน้าแก่ มีรอยเหี่ยวย่น แต่วิธีที่เราดูแลนี่สิผิดวิธีอยู่หรือเปล่า ยิ่งดูแลยิ่งกลายเป็นการทำร้ายผิวมากขึ้นล่ะสิ

1. ไม่ล้างหน้าก่อนนอน 
สาว ๆ คนไหนทำกันบ่อย สารภาพมาซะดี ๆ และขอบอกเลยว่ารีบหยุดพฤติกรรมนี้โดยเด็ดขาด เพราะผิวหน้าของเรานั้นต้องเผชิญกับมลภาวะต่าง ๆ มาทั้งวันแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายถึงหน้าของเราจะมีสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่มากมาย ถ้าหากไม่ล้างหน้าก่อนนอน แบคทีเรียหรือเชื้อโรคต่าง ๆ ก็จะแพร่กระจายและฝังตัว ซึ่งจะทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่ายมาก ๆ

2. ทาครีมไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศ 
สาว ๆ ต้องทำความเข้าใจนะคะว่าอากาศในบ้านเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ ทั้งร้อนแห้ง ร้อนชื้น หรือหนาวเย็น ถ้าหากสาว ๆ ใช้ครีมอยู่แค่ชนิดเดียวเป็นประจำ หรือไม่เลือกใช้ครีมให้เหมาะกับสภาพอากาศ ผิวของคุณก็จะเสียสมดุลเอาได้ ดังนั้นจึงควรเลือกครีมบำรุงให้เหมาะสภาพผิวของเราและเหมาะกับช่วงเวลาจะดีที่สุดค่ะ

3. บีบสิวเป็นประจำ 
การบีบสิวนอกจากจะทำให้ใบหน้าเป็นแผลช้ำ ๆ และดูไม่น่ามองแล้ว อาจจะทำให้สิวติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนอักเสบลุกลามไปทั่วใบหน้าก็เป็นได้

4. ไม่ล้างมือก่อนทาครีม 
เพราะก่อนเอามือมาชโลมครีมทั่วใบหน้านั้น ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มือเราไปสัมผัสกับอะไรมาบ้าง ซึ่งบางทีอาจมีเชื้อโรคติดอยู่ หากสัมผัสกับใบหน้าโดยตรงอาจทำให้เป็นสิว หรือหากเป็นสิวอยู่แล้วก็อาจจะทำให้สิวอักเสบลุกลามเข้าไปใหญ่

5. ถูหน้าแรง ๆ 
จำไว้เลยนะคะสาว ๆ ว่าผิวหน้าของคนเรานั้นถือว่าเป็นอะไรที่บอบบางมาก ๆ ดังนั้นถ้าหากถูแรง ๆ บ่อย ๆ รับรองเลยว่าใบหน้าของคุณจะเกิดริ้วรอยก่อนวัยอย่างแน่นอน

6. ขยี้ตาบ่อย ๆ 
การขยี้ตาบ่อย ๆ ถือเป็นการกระทำที่รบกวนผิวใต้ตาอย่างรุนแรง และจะทำให้ผิวหนังที่บอบบางบริเวณรอบดวงนั้นเกิดรอยยับหรือรอยตีนกาได้ง่าย

7. ไม่ทาครีมกันแดด 
ตัวการทำลายผิวอย่าง รังสียูวีจากแดด มันจะทำลายผิวของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหน้าร้อนเท่านั้น ถ้าหากเราไม่ใส่ใจที่จะทาครีมกันแดด นาน ๆ ไปผิวหน้าของคุณก็จะคล้ำเสียจนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมามีสุขภาพดีเหมือนเดิมได้ นอกจากนี้อาจจะกลายเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

8. สครับผิวหน้าบ่อยเกินไป
จริงอยู่ว่าการสครับผิวจะเป็นการขจัดความหมองคล้ำ เผยให้เห็นผิวหน้าที่ขาวกระจ่างใส แต่ทั้งนี้ไม่ควรที่จะสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะเป็นการทำลายผิว ทำให้ผิวบาง เกิดการระคายเคือง ขาดความชุ่มชื้น และเกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งจำนวนการทำสครับผิวที่เหมาะสมนั้น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

9. เลียริมฝีปาก 
การเลียริมผีปากถือเป็นการทำลายความชุ่มชื้นของปาก สาว ๆ เคยสังเกตไหมคะว่ายิ่งเลียริมฝีปากเท่าไร ปากก็จะยิ่งแห้ง ดังนั้นสาว ๆ จึงไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ เพราะมันจะทำให้ปากลอกแห้งเป็นขุย หรืออาจทำให้เป็นแผลเอาได้ ทางที่ดีควรพกลิปบาล์มติดตัวไว้จะดีที่สุดค่ะ



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

รู้หรือไม่ ....วิธีดูแลผิวบอบบางหลังเผชิญแสงแดดต้องทำอย่างไร


               หลังจากเอนจอยไลฟ์แบบจัดเต็มแล้ว ผิวของเราบอบบางเป็นอย่างมาก เนื่องจากแสงแดดแผดเผา ทำลายสมดุลผิวให้เสียไป ก็ถึงเวลาที่จะกลับมาดูแลผิวกันแล้วค่ะ เพราะผิวสวยๆ ของเราโดนทำลายมาอย่างรุนแรงนะคะ วันนี้จึงขอนำเสนอวิธีการดูแลผิว โดยจะเน้นเรื่องการฟื้นฟูสภาพผิวโดยเฉพาะ เพื่อให้ผิวสวยใสของเรากลับมา ว่าแล้วมาฟื้นฟูผิวเสียกันเลยค่ะ

ทำผิวให้เย็นลง
               ทันทีที่สังเกตเห็นว่าผิวเริ่มลอก ให้คุณอาบน้ำเย็น การอาบน้ำเย็นจะช่วยให้ผิวเย็นลง และลดกระบวนการลอกของผิวให้ช้าลงได้ด้วย นอกจากนี้เมื่อเช็ดตัว ก็ให้ซับแต่เบามือ อย่าเช็ดถูโดยแรงเพราะจะทำให้ผิวยิ่งระคายเคือง และลอกมากขึ้นได้

ดื่มน้ำมาก ๆ
               หลังจากบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นจากภายนอกแล้ว ก็ต้องบำรุงให้ชุ่มชื้นออกมาจากภายในด้วย ทำได้โดยการดื่มน้ำ ยิ่งในยามที่ผิวไหม้และลอกขนาดนี้ น้ำกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งขึ้นในการช่วยให้ผิวฟื้นฟูสภาพได้เร็ว เพราะฉะนั้นอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วนะคะ

อย่าดึงหนังที่กำลังลอกออกมา
               ในช่วงกระบวนการรักษา ผิวชั้นนอกจะค่อย ๆ แห้งและร่อนหลุดออกมา แต่อย่ามือซนไปแกะหรือลอกผิวหนังที่กำลังหลุดร่อนออกมาเด็ดขาด เพราะการดึงให้หนังหลุดลอกออกมานั้นอาจทำให้เกิดอาการอักเสบได้ หากรู้สึกรำคาญสายตาและสัมผัส ให้ใช้กรรไกรเล็ก ๆ ตัดเฉพาะหนังส่วนที่ลอกออกมา แล้วทายาขี้ผึ้งกันการติดเชื้อทับ

ห้ามเกา
               แม้ว่าจะรู้สึกคันมากเพียงใด แต่ก็ห้ามมือซนไปเกาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคุณอาจได้ทำร้ายผิวในระยะยาว ด้วยการฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ หากรู้สึกคันให้บรรเทาด้วยการใช้ผ้าขาวบางหรือผ้าเช็ดหน้าห่อน้ำแข็ง แล้วนำมาทาบกับผิวบริเวณนั้น เมื่อผิวเริ่มเย็นลงอาการคันก็จะทุเลาลงได้

ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย
               เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ และขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่ว พร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว

ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน
               ยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย

ใช้ครีมบำรุงสูตรผิวแพ้ง่าย
               กรณีที่อาบแดดนาน ๆ อยู่ท่ามกลางความร้อนมากเกินไปหรือแพ้สภาพอากาศ อาจทำให้ใบหน้าและบริเวณหน้าอกขึ้นเป็นผื่นแดง วิธีที่ดีที่สุด คือใช้ครีมบำรุงผิวสูตรบรรเทาผื่นแดงสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดขนาดของรอยผื่น และต้องหลบแดดทันทีควบคู่กับการงดทำซาวน่า และอยู่ให้พ้นจากชายหาด ที่มีลมแรงสักระยะ

ใครที่โดนแสงแดดทำลายผิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปบำรุงผิวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมกันได้นะคะ




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ผิวหน้าแพ้ง่าย รู้ได้อย่างไร?



               ผิวบอบบางและแพ้ง่ายเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณในร่างกายของเรา แต่เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้นบนใบหน้ามักจะทำให้คนอื่นสามารถสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย ผิวที่แพ้ง่ายเกิดจากการที่เกราะป้องกันผิวมีความผิดปกติ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำและสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองสามารถเข้ามาทำร้ายผิวได้ อาการของผิวแพ้ง่ายนั้นจะหนักขึ้นหากโดนปัจจัยจากภายนอกอย่าง แสงแดด หรือสารบางชนิดในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว การเข้าใจถึงสาเหตุของผิวหน้าที่แพ้ง่ายรวมถึงปัจจัยที่อาจทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น จะสามารถช่วยให้เราควบคุมและลดอาการและความถี่ของการเกิดปัญหาขึ้นได้

               ผิวของเราเป็นอวัยวะที่มีความมหัศจรรย์ ผิวที่มีสุขภาพดีมีขั้นตอนการทำงานของส่วนต่างๆ ที่สลับซับซ้อนในการสร้างสมดุลย์ในผิวและปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก เซลล์ผิวและไขมันที่อยู่ในชั้นผิวไม่ต่างกับอิฐและปูนที่เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบเพื่อสร้างความมั่นคงและแข็งแรงให้กับโครงสร้างของผิว

               ชั้นบนสุดของผิวหนังกำพร้าทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันร่างกายจากปัจจัยภายนอกในผิวที่มีสุขภาพดี เกราะป้องกันทำหน้าที่กักเก็บความชื้น ป้องกันผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายแต่สำหรับผิวแพ้ง่ายนั้น การทำงานของเอนไซม์ที่ผิดปกติทำให้ผิวบอบบาง อ่อนแอ เกราะป้องกันผิวไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการสูญเสียน้ำและเปิดโอกาสให้ปัจจัยภายนอกเข้ามาทำร้ายผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดขึ้นที่ผิวหน้าแล้วอาการมักจะรุนแรงและเห็นได้ชัดเนื่องจากต้องเจอกับปัจจัยภายนอกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด มลภาวะ และสารเคมี

อาการที่บ่งบอกว่าผิวคุณแพ้ง่าย เช่น

  • ผิวลอกเป็นขุย ผิวแดง ผื่น อาการบวม ผิวแตก ผิวแห้งกร้าน หยาบ
  • ในบางกรณีอาจมีอาการคัน แสบ ตึง ร่วมด้วย

ผิวหน้าที่แพ้ง่ายและมีปฏิกิริยาไว มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องสำอาง การดูแลผิว อายุ และการสูญเสียน้ำด้วย โดยอาการมักจะเกิดขึ้นหลังจากการทาผลิตภัณฑ์โดยทันที หรืออาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือในบางกรณีหลายวัน อาการอาจรวมไปถึงแสบผิว และอาจมีอาการผิวแดง ผิวตกสะเก็ด ผิวแตก ร่วมด้วย

อะไรทำให้ผิวแพ้ง่าย

ปัจจัยภายในที่ทำให้ผิวแพ้ง่าย
               ผิวแพ้ง่ายสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ แต่มักพบบ่อยในเด็กทารกและเมื่อเริ่มมีอายุ ผิวเด็กทารกมีความหนาประมาณเศษ 1 ส่วน 5 ของผิวผู้ใหญ่และเกราะป้องกันผิวยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ จึงทำให้เซนซิทิฟต่อสารเคมี และรังสียูวี ส่วนผิวผู้ใหญ่นั้นเมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของเกราะป้องกันผิวก็เริ่มเสื่อมสภาพลง ไขมันในชั้นผิวเริ่มลดลง การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนไม่ว่าจะจากการตั้งครรภ์หรือวัยหมดประจำเดือนล้วนมีผลกระทบกับความสามารถของผิวในการป้องกันสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคือง นอกจากนั้นแล้วความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอ ยังเป็นอีกสองปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้อาการผิวแพ้ง่ายปะทุขึ้นมาได้ โดยบางครั้งเมื่อควบคู่กับการรับประทานอาหารที่ขาดคุณค่าทางโภชนาการและการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ก็จะทำให้ผิวที่แห้ง ขาดน้ำ และระคายเคืองอยู่แล้วเกิดอาการแพ้ขึ้น

ปัจจัยภายนอกที่ทำให้ผิวแพ้ง่าย

  • ผิวหน้าของเราต้องเจอกับปัจจัยภายนอกต่างๆ มากมาย แต่ละฤดู สภาพอากาศที่แตกต่างกันนำมาซึ่งปัจจัยที่อาจกระตุ้นทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ขึ้นได้
  • อากาศหนาวมาก ทำให้ผิวหนังลดการปล่อยสารที่รักษาสมดุลย์ไขมันบนใบหน้า ในขณะที่อากาศร้อนทำให้เหงื่อที่ออกมาและระเหย ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย การอยู่ในห้องแอร์ตลอดทั้งวัน หรืออยู่ในที่ๆ มีความชื้นต่ำก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน
  • รังสียูวีและมลภาวะอื่นๆ ก็ทำให้ผิวอยู่ในอาการเครียดและก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้เกราะป้องกันของผิวหนังอ่อนแอ การโดนแสงแดดนานๆ โดยไม่ได้ทาครีมกันแดดป้องกันทำให้ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ และระคายเคืองได้ง่าย
  • สารทำความสะอาดบางชนิดทำให้ไขมันธรรมชาติในผิวหายไป ส่วนน้ำหอม สี และแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์บางประเภทก็ทำให้ผิวระคายเคืองได้เช่นกันอากาศเย็นอาจทำร้ายฟิล์มบางๆ ที่ทำหน้าที่ปกป้องผิว และอาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ได้ง่ายมลภาวะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระทำร้ายเกราะปกป้องผิวขึ้น


ปัจจัยอื่นๆ

  • เมื่อผิวของเราแพ้ง่ายแล้ว พฤติกรรมหรือเหตุการณ์บางประเภทอาจทำให้อาการแพ้แย่ขึ้นหรือมีอาการเป็นเวลานานขึ้น
  • ปัจจัยหลักที่มีส่วนทำให้ผิวแพ้ง่ายคือการดูแลผิวในแต่ละวันทั้งในเวลาเช้าและก่อนนอน สารทำความสะอาดทั่วไปมักจะชำระล้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติออกไปด้วย นอกจากนั้นแล้วมอยส์เจอไรเซอร์บางชนิดก็อาจมีสารที่ทำให้ผิวระคายเคือง ทำให้ผิวแดงหรือแสบ
  • เคมิคอล พีล และการใช้สครับขัดผิวหน้า จะทำให้ฟิล์มไขมันบางๆ ที่ปกป้องผิวหลุดออก นอกจากนั้นยังทำร้ายชั้นบนของหนังแท้ด้วย ถึงแม้การทำทรีทเม้นท์ทั้งสองประเภทนี้อาจมีประโยชน์ในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและช่วยลดเลือนริ้วรอยบางๆ ได้บ้าง แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว โดยเฉพาะผิวที่แพ้ง่ายอยู่แล้วด้วย


บรรเทาอาการผิวหน้าแพ้ง่ายอย่างไร

  • การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์สามารถช่วยได้
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น วิตามินเอ ซี และ อี น้ำมันในพืชและปลา สามารถช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีได้
  • แม้ในวันที่เมฆครึ้ม ผิวหน้าของเราก็ยังคงต้องเจอกับรังสียูวี ดังนั้นการหมั่นทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญ และควรหลีกเลี่ยงการออกแดดระหว่างเวลา 11.00 - 15.00 น. ควรเลือกครีมกันแดดที่ปราศจากสารระคายเคืองผิวเช่นน้ำหอมบางประเภท สารต้านอนุมูลอิสระและน้ำมันธรรมชาติช่วยฟื้นฟูให้ผิวกลับมามีสุขภาพดีได้ ก่อนเลือกซื้อเครื่องสำอาง โดยเฉพาะสำหรับผิวที่แพ้ง่าย ควรทดลองผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก่อนด้วยการทาลงบนบริเวณแขนและสังเกตอาการเป็นเวลา 24 ชั่วโมง


Share: Line

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวอย่างไรดี?



               คุณเคยรู้สึกสงสัยบ้างหรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์เนม มีความรู้เรื่องเครื่องสำอางที่ตนเองขายและสภาพผิวของคุณดีพอแค่ไหน?   คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเครื่องสำอางที่เขาแนะนำให้คุณซื้อนั้นเหมาะกับสภาพผิวของคุณจริง?

               คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่คาใจคุณ! ด้วยเหตุนี้ คุณจึงต้องเรียนรู้เรื่องผิวประเภทต่างๆ และผลิตภัณฑ์ให้ดีก่อนควักเงินซื้อ

         คุณอาจจะมีคำถามว่า... แล้วมอยเจอร์ไรเซอร์จะเหมาะกับผิวประเภทไหน?
มอยเจอร์ไรเซอร์นั้นให้ประโยชน์กับผิวแห้ง หรือบริเวณที่แห้งในคนที่มีผิวผสมได้มากกว่า โดยจะช่วยให้ skin barrier ทำงานได้ดีขึ้น ลดการระคายเคืองและการแพ้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวดูนุ่มชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย
         แต่อย่างไรก็ตาม การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เพียงอย่างเดียวนั้น ดูเหมือนจะไม่ช่วยในการลดริ้วรอยหรือสัญญาณที่บ่งบอกอาการชราของผิวได้    ดังนั้น ถ้าหากคุณรู้สึกว่า คุณต้องการที่จะเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้วละก็ คุณควรจะแน่ใจว่า คุณได้เลือกชนิดของมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับชนิดของผิวคุณมากที่สุด ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้

มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดอิมัลชัน (Emulsion based moisturizers)
             โดยทั่วไป น้ำและน้ำมันไม่สามารถรวมตัวกันได้และไม่สามารถละลายในซึ่งกันและกันได้เช่นกัน  ดังนั้นเมื่อเราผสมน้ำและน้ำมัน ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันแล้วเขย่า จะเกิดเป็นหยดของน้ำมันเล็กๆ ขึ้นในน้ำ ซึ่งส่วนผสมทั้งสองจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างคงตัว ต้องใช้สารที่เรียกว่า สารอีมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) ที่เป็นสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) สารนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้หยดของน้ำและน้ำมันเกิดการรวมตัวกัน ทั้งใน oil in water อิมัลชัน และใน water in oil อิมัลชัน จุดนี้ อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนผิวแห้งที่ผลิตน้ำมันได้เพียงเล็กน้อย
              มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิด oil in water อิมัลชันค่อนข้างที่จะมีเนื้อที่หนักกว่า ทำให้เหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง เนื่องจากมอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้มีแน้วโน้มที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดสิวมากกว่ามอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่ปราศจากน้ำมัน   ดังนั้นจึงไม่ควรใช้กับคนที่มีผิวธรรมดาและผิวมัน


มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่เคลือบผิว (Occlusive moisturizers)
               มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้จะช่วยเคลือบผิว โดยการสร้างฟิล์มบางๆ เคลือบที่ชั้นบนสุดของผิวและสามารถกันน้ำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว  ส่วนประกอบของสารที่ช่วยเคลือบผิวกลุ่มนี้ ได้แก่ petrolatum เช่น วาสลีน, mineral oil, siloxane เช่น dimethicone และ cyclomethicone เป็นต้น   สารเหล่านี้อาจจะทำให้รูขุมขนอุดตันและทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
               ในคนผิวแห้ง ถ้าหากใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิด oil in water อิมัลชันแล้ว ไม่ช่วยให้ดีขึ้นก็ควรจะเปลี่ยนมาเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้แทน  กรณีเช่นนี้อาจเกิดได้จาก ผิวแห้งที่เกิดจากการสูญเสียน้ำจากผิวหนังเป็นจำนวนมาก การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่เคลือบผิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มี siloxane เป็นส่วนประกอบน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากช่วยเคลือบคลุมผิวเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำในชั้นผิวหนังได้ดีกว่าและทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น


มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free moisturizers)
               มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้มักจะเรียกกันว่า Humectants ซึ่งเป็นสารที่สามารถดึงดูดน้ำเข้ามาและตัวมันเองยังสามารถอุ้มน้ำที่ดูดมาไว้ได้ จึงเปรียบเสมือนเป็นการกักเก็บน้ำไปด้วยในตัว สารในกลุ่มนี้ได้แก่ propylene glycol, glycerin, sodium PCA, hyaluronic acid, colloidal oatmeal, collagen และอื่นๆ เป็นต้น
               ถ้าหากคุณมีผิวมันหรือผิวธรรมดาและรู้สึกว่าต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังแล้วละก็ คุณควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่ปราศจากน้ำมันที่ว่านี้น่าจะเหมาะที่สุด แต่มอยเจอร์ไรเซอร์ในกลุ่มนี้จะมีราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น!


มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่คงอยู่ได้เป็นเวลานาน (Long-lasting moisturizers)
               คนผิวแห้งในบางกรณีหรือในสภาวะอากาศที่แห้งมากๆ มอยเจอร์ไรเซอร์ธรรมดาอาจจะไม่สามารถช่วยได้ เนื่องจากให้ความชุ่มชื้นได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นผิวก็จะกลับมาแห้งอีกเหมือนตอนก่อนใช้   ดังนั้นมอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดที่สามารถคงอยู่ได้นานนี้ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แทนที่จะต้องมาทามอยเจอร์ไรเซอร์ธรรมดาซ้ำทุกๆ สองชั่วโมง
               มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้จะประกอบไปด้วยคุณสมบัติสำคัญต่างๆ ของมอยเจอร์ไรเซอร์หลายชนิดมารวมกัน ประกอบไปด้วยสารที่เป็น humectant และ occlusive หลายชนิด เช่น dimethicone, colloidal oatmeal, glycerin, sodium PCA, hyaluronic acid, petrolatum และอื่นๆ เป็นต้น — มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งรุนแรงมาก





แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!

Share: Line

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เคล็ด(ไม่)ลับ ปรับสมดุลให้ผิวคุณ


         สาวๆรู้หรือไม่คะ ว่าโดยทั่วไปสภาพผิวของผู้หญิงส่วนใหญ่มีผิวมัน แต่กลับมีความชุ่มชื่นน้อย นั่นเป็นเพราะผลจากอุณหภูมิที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา เพราะเมื่อก้าวออกไปนอกอาคารต้องพบกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว กระตุ้นให้ผิวหน้าขับน้ำมันเคลือบผิวออกมามากกว่าปกติ แต่เมื่อกลับเข้าไปทำงานหรือกิจกรรมภายในอาคาร ก็ต้องเจอกับอุณหภูมิที่เย็นลงและมีความชุ่มชื้นน้อยของห้องปรับอากาศ ผิวจึงแห้งตึง อันเป็นผลทำให้ผิวไม่สามารถปรับสภาพได้ทัน จึงเป็นเหตุให้ผิวเสียสมดุล
ดังนั้น วันนี้เรามาดูเคล็ด(ไม่)ลับ ดีๆ ที่นำมาฝากกันดีกว่าค่ะ ที่จะช่วยคืนความมีชีวิตชีวาให้ผิวของสาวๆได้กลับมาสวยอีกครั้ง

ดื่มน้ำชุ่มชื้นจากภายใน 
หลายๆ ท่านอาจจะโฟกัสบำรุงเฉพาะผิวกันอย่างเดียว จนลืมไปแล้วว่าผิวนั้นต้องการความชุ่มชื้นซึ่งการดื่มน้ำนั่นคือส่วนสำคัญที่จะปรับสมดุลให้กับชีวิตและผิวพรรณ ในหนึ่งวันต้องดื่มน้ำให้ได้ 1.5 ลิตรเป็นอย่างน้อยนะคะ

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสมดุล 
ความสมดุลของผิวตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้เมื่อเซลล์ผิวมีน้ำและน้ำมันในชั้นผิวอยู่ในระดับที่พอเหมาะ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสมดุลอย่าง โทนเนอร์ คงความชุ่มชื่นและรักษาสมดุลความมันบนผิวจึงเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ

อย่ามองข้ามการพักผ่อน 
ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า พักผ่อนที่ไม่เพียงพอคือปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวแห้งตึง หยาบกร้านเพราะผิวเริ่มอ่อนล้า ปลายประสาทภายในผิวถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนที่มากเกินไปจากสภาพจิตใจ ฉะนั้นอย่ามองข้ามการพักผ่อนนะคะ


ทำความสะอาดผิวให้ถูกวิธี 
การอาบน้ำ นอกจากจะเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกแล้ว ยังช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์กลับมาทำงานตามปกติ ที่สำตัญห้ามถู หรือขัดแรงเกินไป เพราะจะทำให้เซลล์ผิวเกิดบาดแผลได้ เบามือกับผิวเราหน่อยนะคะเพื่อให้ผิวสวยอยู่คู่เราไปนานๆ ค่ะ





แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

ฟื้นฟูให้ผิวหน้า ให้กลับมาสวย "เป๊ะ" ทันใจ เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ สดใสกว่าที่เคย


แสงแดดตัวร้าย ทำลายผิวของสาวๆกันไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมคะ ขนาดโบกครีมกันแดดหนาเป็นคืบแล้วก็ยังมิวายรู้สึกแสบๆ ร้อนๆ แล้วนับประสาอะไรกับสาวใจกล้าที่เดินลุยแดดโทงๆ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ ผิดพลาดไปแล้วก็กลับตัวกลับใจกันใหม่ได้เสมอ แค่ทำตามทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้คุณก็สามารถกลับมาสวยเป๊ะได้เหมือนเดิมแน่นอนค่ะ

อย่าเพิ่งขัดถู รอหนูฟื้นตัว 
หลังจากถูกแดดอย่างหนักผิวของเราจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมากๆ ฉะนั้นควรงดเว้นการสครับผิวอย่างเด็ดขาด รวมถึงงดเว้นการใช้ไวท์เทนนิ่งในช่วงนี้ด้วย เพราะไวท์เทนนิ่งจะยับยั้งการสร้างเม็ดสี ซึ่งอาจส่งผลให้ผิวของเรากระดำกระด่างไม่สวยงาม อดใจไว้ก่อน รอให้ผิวเข้าที่เข้าทางสัก 1-2 สัปดาห์ เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะกลับมาขัด มาบำรุงผิวยังไงก็ทำได้เต็มที่

ทำตัวเป็นมนุษย์ถ้ำ
สภาพผิวของคนที่เพิ่งถูกแดดอย่างหนักมา แสนจะอ่อนแอและบอบบาง คุณยังไม่สามารถทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวในช่วงนี้ได้ เพราะผิวยังอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือสารเคมีบางตัวที่อยู่ในครีมกันแดดได้ ทางที่ดีควรงดเว้นการออกแดดให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรใช้ร่มกันแดด สวมเสื้อผ้าที่ปกคลุมผิวให้มิดชิดที่สุดเพื่อไม่ให้แสงแดดกระทบกับผิวโดยตรง

เติมน้ำให้กับผิว
ผิวที่ถูกแดดเผาคือผิวที่สูญเสียน้ำไปในปริมาณมาก วิธีเดียวที่จะฟื้นฟูให้ผิวกลับมาสดชื่นเปล่งปลั่งดังเดิมก็คือการเติมน้ำคืนสู่ผิวด้วยปริมาณที่ไม่น้อยไปกว่าที่เสียไป การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ถือเป็นวิธีหนึ่ง ในการเติมน้ำให้ผิวที่ดี แต่ถ้าอยากได้ผลแบบดับเบิ้ล คุณต้องฟื้นฟูที่ต้นเหตุด้วยการดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวัน

โปะทันทีที่ไหม้แดด 
การโดนแดดติดต่อกันเป็นเวลานานตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงขึ้นไปอาจทำให้ผิวของเราแสบร้อน ถึงขั้นเป็นรอยแดงไหม้ได้เลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวดั้งเดิมของเราด้วยค่ะ ว่ามีเม็ดสีหรือเมลานินมากหรือน้อยขนาดไหน พูดง่ายๆ ว่าถ้าเรายิ่งผิวขาวเพราะมีเม็ดสีน้อย ก็ยิ่งบอบบางต่อแสงแดดนั่นเอง เมื่อโดนแดดแรงขนาดนั้นควรรีบใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบ จากนั้นใช้ว่านหางจระเข้ที่นำยางออกแล้วมาทาถูเบาๆ ให้ทั่วบริเวณที่ถูกแดด แต่ในยุคปัจจุบันอาจจะหาว่านหางจระเข้ลำบาก เราสามารถใช้โลชั่นว่านหางจระเข้ หรือแผ่นมาส์กว่านหางจระเข้ที่วางขายตามร้านผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทดแทนกันได้ค่ะ

นมจ๋า ช่วยผิวด้วย 
อีกหนึ่งวิธีในการฟื้นฟูผิวที่ถูกแดดก็คือการใช้โปรตีนจากนม ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้ผิวคายน้ำ จะใช้นมสดเย็นๆ ทาที่ผิวหรือใช้โยเกิร์ตเย็นๆ มาพอกทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงก็ได้ โปรตีนจากนมจะช่วย
คืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!

Share: Line

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

เพราะ "ผิวดี" เริ่มต้นที่ผิวสะอาด อย่าปล่อยให้ผิวเป็น เหยื่อ ของสิ่งสกปรกอีกเลย


  การแต่งหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสาวๆ ส่วนใหญ่เหล่าเครื่องสำอางในปัจจุบันก็มาพร้อมประสิทธิภาพที่ช่วยกันน้ำได้อย่างดี ทำให้ยากต่อการล้างออกด้วยน้ำเปล่า และหากสาวๆ ล้างคราบเครื่องสำอางออกไม่หมด แน่นอนว่าผิวหน้าใสๆ ของคุณจะต้องเกิดสิวอุดตันเป็นแน่
               วันนี้เราจึงได้นำวิธีเช็ดเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจดมาแนะนำ บอกเลย ว่าหากทำตามนี้ ต่อให้ต้องแต่งหน้ายังไง ปัญหาสิวก็ไม่มีทางมากวนใจเป็นแน่ มาดูกันดีกว่าว่าล้างเครื่องสำอางให้สะอาดได้อย่างไรบ้าง

ดวงตา
               บริเวณนี้เป็นบริเวณที่ผิวบอบบางมากที่สุด ดังนั้นการทำความสะอาดควรทำอย่างเบามือนะคะ โดยหยดผลิตภัณฑ์ลงบนสำลีแผ่นให้เปียก นำมาปิดเปลือกตาโดยค้างไว้ประมาณ 5 วินาที จากนั้นค่อยๆ รูดสำลีเช็ดบริเวณขนตาเพื่อให้คราบมาสคาร่าหลุดออกมา แต่ต้องค่อยๆ ทำอย่างเบามือเท่านั้น

ริมฝีปาก
               สำหรับในส่วนของผิวริมฝีปาก สาวๆบางคนอาจจะมีผิวลอกแตกเป็นขุย เนื่องจากผิวแห้ง ดังนั้น แนะนำให้เช็ดอย่างเบามือเช่นกัน ไม่งั้นอาจจะทำให้ผิวยิ่งหลุดลอกเกิดเป็นแผลขึ้นได้

ใบหน้า
              เริ่มเช็ดจากกึ่งกลางจมูกแล้วเช็ดออกไปทางใบหูหรือเช็ดออกไปยังด้านข้างของใบหน้าให้ทั่วจนคราบเครื่องสำอางหลุดออกไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เพียงเท่านี้ ก็สะอาดหมดจด สู่การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เป็นขั้นตอนต่อไปแล้วค่า

               เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับเคล็ดลับการเช็ดเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจดอย่างถูกต้อง รับรองเลยว่าหากสาวๆทำตามนี้แล้ว จะแต่งหน้าจัดหนัก จัดเต็มขนาดไหน สิวก็ไม่มากล้ำกลายอย่างแน่นอน


แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เคยสงสัยหรือไม่??? ทำไม "ผิวหน้า" จึงมีปัญหาขนาดนี้


                บางครั้งเราเองก็ยังสงสัยใช่มั๊ยคะ ว่า สาวๆสมัยนี้ มีผิวสวยใสกันทั้งนั้น เค้าไปทำอะไรกันมานะ แต่ทำไมตัวเราเองกลับหน้าหมองคล้ำ เป็นสิว แถมมีริ้วรอย จริงๆแล้ว ต้นเหตุของปัญหาเหล่านี้ อาจใกล้ตัวจนเราคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
                เพราะจริงๆแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งของ “ปัญหาผิว”ที่พูดได้ว่าอาจจะเป็นสาเหตุหลักเลยด้วยซ้ำ ก็คือ การที่เราล้างหน้าไม่สะอาดหมดจดนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาวๆที่รักการแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้ง เนื่องจากมลภาวะทั้งฝุ่นละออง แสงแดด ควันพิษและเครื่องสำอางที่เราใช้แต่งหน้ากันอยู่ เมื่อเวลาผ่านนานไปก็ย่อมเกิดการบูดเสีย และเป็นสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน หากล้างไม่หมดจด ก็เตรียมบอกลาผิวหน้าสวยๆ ไปอย่างแน่นอน

              เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
                การล้างหน้าให้สะอาดหมดจดนั้น บางคนอาจคิดว่าแค่น้ำเปล่าก็เพียงพอ แต่ความจริงแล้วคราบเครื่องสำอาง ความมัน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่สามารถล้างหมดได้เพียงแค่ใช้น้ำเปล่า ดังนั้น การล้างหน้าที่ถูกต้อง จึงต้องอย่าละเลยในจะใช้ makeup Remover ก่อนเสมอ จากนั้นจึงต่อด้วยล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ ที่จะต้องอ่อนโยนด้วยค่า pH 5.5 เพื่อคงสมดุลความชุ่มชื่นของผิวให้คงอยู่ และที่สำคัญเลย อย่าลืมการสครับผิวบ้างอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพราะจะช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก และช่วยการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป โดยไม่ทำลายน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ

                เพียงแค่นี้ หากคุณล้างหน้าอย่างสะอาดหมดจดเป็นประจำ สม่ำเสมอ รับรองเลยว่าผิวหน้าก้อจะตอบแทนคุณด้วยความสวยใส ปัญหาผิวใดๆ ก้อไม่มากล้ำกลายค่ะ

แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับการล้างหน้า


            เชื่อว่า.....สาวๆทุกคนต่างก็ล้างหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว ใช่มั๊ยคะ แต่แน่ใจแล้วหรือ..... ว่าที่เราทำนั้น มันถูกต้องแล้วจริงๆ เพราะการล้างหน้า ไม่ใช่เพียงแค่ใช้โฟมล้างหน้ามาถูวนแล้วล้างออกไป แต่การล้างหน้าที่ถูกต้องนั้น ยังมีสิ่งต่างๆที่ต้องคำนึง และใส่ใจอย่างพิถีพิถันมากมาย วันนี้เราจะพาไปดูข้อควรรู้เกี่ยวกับการล้างหน้ามาฝากกัน รู้กันแล้ว ก็อย่าลืมนำไปทำตามกันด้วยนะคะ

1. อุปกรณ์ต้องเตรียมพร้อม
                ควรเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ให้พร้อมสำหรับการล้างหน้าทุกครั้งนะคะ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอาง สำลีแผ่น หรือผ้าขนหนูนุ่มๆไม่บาดผิว สำหรับซับหน้า เพื่อการล้างหน้าจะได้เป็นไปอย่างสะอาดหมดจดอย่างแท้จริง
2. เช็ดเครื่องสำอาง ขั้นตอนที่ไม่ควรละเลย
                การเช็ดเครื่องสำอางเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับสาวที่ต้องแต่งหน้าในทุก ๆ วันนะคะ เพราะจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้า และชำระคราบเครื่องสำอางหรือสิ่งสกปรกออกไป ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเป็นขั้นตอนต่อไปค่ะ
3. ล้างหน้าอย่างล้ำลึก
                ด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิว ด้วยค่า pH 5.5 เพื่อผิวของสาวๆยังคงชุ่มชื่น และน้ำหล่อเลี้ยงผิวจากธรรมชาติไม่ถูกทำลายไปจนหมดจนรู้สึกแห้งตึง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้ในภายหลัง
4.”ซับ” ไม่ใช่ “เช็ด”
                หลังจากการล้างหน้าแล้ว ควรซับหน้าด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่มอย่างเบามือ ห้ามเช็ดถูผิวหน้าแรงๆเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้ผิวหน้าเป็นรอยแดง และระคายเคืองได้ แลที่สำคัญเลยเราควรแยกผ้าเช็ดหน้ากับผ้าเช็ดตัวไม่ควรใช้เป็นผ้าผืนเดียวกัน เพราะผิวหน้านั้นบอบบางกว่าผิวส่วนอื่น และไวต่อสิ่งสกปรกได้ง่ายค่ะ
5.ล้างหน้าบ่อยแค่ไหนดี
                สาวๆรู้หรือไม่คะว่า แค่ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งยังไม่พอ ทำไมนะหรอ ลองคิดดูนะคะว่าทุกเช้าที่เราแต่งหน้า หรือทาครีมบำรุงต่างๆ แล้วออกไปข้างนอก เจอกับฝุ่นควัน มลภาวะและสิ่งสกปรกมากมาย เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นจะเกิดการหมักหมมบนผิวหน้าจนเกิดการบูดเสีย แล้วถ้าเราปล่อยขยะเหล่านี้ไว้ทั้งวัน นั่นต่างหากที่จะเป็นผลเสียกับผิวหน้าของเรา เพราะฉะนั้นอย่าลืมล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนครั้งที่พอเหมาะต่อวัน ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH เหมาะสม ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง เพื่อผิวหน้าสวยใสจะได้อยู่กับเราไปนานๆยังไงล่ะคะ

แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line